เมื่อไม่นานมานี้มีญาติผู้ใหญ่สอบถามว่า จะซื้ออาหารเสริมราคาแพงที่คนขายอวดอ้างสรรพคุณว่าช่วย “ดีท็อกซ์” ดีหรือไม่ ?
ด้วยความที่ไม่อยากให้สิ้นเปลืองก็เลยยกหูโทรศัพท์สอบถามผู้รู้อย่าง นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ ก็ได้รับคำตอบที่เป็นประโยชน์ เลยขอนำมาถ่ายทอดให้ผู้อ่านได้รับทราบกัน
นพ.กฤษดา บอกว่า “ดีท็อกซ์” คือ การฟอกพิษออกจากตัว โดยปกติตับจะทำหน้าที่นี้อยู่แล้ว แต่พออายุมากเข้าตับเหนื่อยทำงานน้อยลง ดังนั้นการ “ดีท็อกซ์” ไม่จำเป็นต้องทางก้นเสมอไป เพราะทางก้นนั้นทำบ่อยเข้าอาจไปกวนลำไส้ใหญ่เกินไป แต่เราสามารถฟอกพิษทางปากได้ด้วยการกินผักและผลไม้
ผักและผลไม้ฟอกพิษมีดังนี้
1. แอปเปิ้ล มีตัวดักพิษมากคือ เส้นใย เพกติน (Pectin) กินแอปเปิ้ลเขียวหรือน้ำแอปเปิ้ลที่ต้องปั่นทั้งกากวันละ 2 ผล
2. ถั่วดำและมะรุม (แกงส้มมะรุม)มีตัวดักพิษ ชื่อ กากชนิดละลายน้ำ (Soluble fiber) กินวันละ 2 กำมือหรือจะเป็นถั่วแดง ถั่วเขียว หรือถั่วสีเข้มอื่นก็ได้หรือจะเป็นแบบสำรับไทย ให้กินข้าวเม่าแทนข้าวโอ๊ตก็ดีและให้กินแท่งกระยาสารทแทนแท่งธัญพืชของฝรั่ง เพราะมีตัวดักพิษพอ ๆ กันในราคาถูกกว่า
3. ข้าวโอ๊ตไม่ขัดสี มีตัวดักพิษเป็นเส้นใยเช่นกัน ชื่อ “เบต้ากลูแคน” (Beta glucan) ตัวนี้ดีสุด ๆ เพราะช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันด้วย มีงานวิจัยใช้รักษามะเร็ง เบาหวานด้วย
4. สับปะรด มีน้ำย่อย ชื่อ “โบรมีเลน” (Bromelain) ช่วยย่อยขยะอาหารที่เหนียวติด ตามซอกกลีบลำไส้
5. มะละกอ เด่นดีที่น้ำย่อยชื่อ “ปาเปน” (Papain) ช่วยกัดเศษเนื้อที่ติดเป็นคราบดำเหนียวในลำไส้ให้หลุดออกเหมือนกับผงทะลวงส้วมยังไงยังงั้นเลย
นพ.กฤษดา บอกว่า ผลไม้ประกอบด้วย “ธาตุล้างพิษ” หลัก ๆ คือ
1. กากชนิดละลายน้ำได้มักเป็นส่วน “เนื้อ” นิ่ม ๆ กินอร่อย เป็นเหมือน “ฟองน้ำ” คือทั้ง“เช็ด” และ “ซับ” คราบสกปรก ดูดไขมัน ลากน้ำตาลส่วนเกินให้ออกนอกร่างกาย จึงดีมากสำหรับคนเป็นความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวาน
2. กากชนิดไม่ละลายน้ำ มักเป็นส่วน “เปลือก” เป็นเสมือน “ไม้กวาด” อุดมไปด้วยเสี้ยนที่จะไปขัดสีถึงซอกเล็กน้อยในลำไส้
ส่วนผักมี 2 แบบเช่นกัน คือ ผักที่เด่นไปด้วย “กากไม่ละลายน้ำ”และผักที่เด่นไปด้วย “กากละลายน้ำได้” ซึ่งดีทั้ง 2 แบบแต่ควรเลือกให้หนักที่ผักที่มีกากละลายน้ำได้มากจะดีกว่า สังเกตได้คือ เป็นผักเนื้อนิ่ม เช่น มะรุม มะเขือเทศ แตงกวา หรือเป็นผักที่มีวุ้นหรือเมือกมาก เช่น กระเจี๊ยบอ่อน บอน
ต้องกินผักและผลไม้บ่อยแค่ไหนและปริมาณเท่าใด ?นพ.กฤษดา กล่าวว่า โดยทั่วไปควรกินให้ได้ “กาก” ทั้ง 2 อย่างวันละ 30 กรัมคือ กินผักให้ได้มื้อละ 2 ทัพพี หรือจะทำสัปดาห์ละครั้งก็พอ
คนที่ควร “ดีท็อกซ์” เป็นใครบ้าง ?นพ.กฤษดา กล่าวว่า เป็นคนที่ตับเริ่มขี้เกียจ ทำงานหรือตับป่วย เช่นผู้สูงวัย คนดื่มเหล้าจัดคนเป็นโรคเบาหวาน คนที่ทำงานหนัก เครียดจัด นอนดึกเพราะตับจะล้าเหมือนกัน
สัญญาณเตือนที่บ่งบอกว่าจะต้อง “ดีท็อกซ์” เป็นอย่างไร ? นพ.กฤษดา กล่าวว่า
1. ท้องผูกบ่อย หรือถ่ายเหลวแบบไม่ใช่ท้องเสีย
2. ถ่ายไม่เป็นเวลา ถ่ายผิดเวลาไปจากเดิม
3. ลำไส้แปรปรวน ท้องอืดง่ายจนรำคาญ
4. นอนไม่ค่อยหลับทั้งที่แต่ก่อนหลับดี
5. อารมณ์หงุดหงิดขึ้นลงง่าย ผิดกับแต่ก่อน.
นวพรรณ บุญชาญ : รายงาน
ที่มา: เดลินิวส์ 8 พฤศจิกายน 2552
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
และข้อมูลจากบล็อก ascannotdo